วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550

รายได้เพิ่มเสริมอีกทางจากงานประจำ


ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่ง ซูริค ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า"สมองช้าไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัว เองตลอดเวลา " ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์"ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

ชายกล ุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต้ง ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว" ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน"หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" ( Ludwig van Beethoven)นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก

ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6 ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น ชายคนนั้น... เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"

ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แก รนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า" ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัท Blue Book Modeling Agency หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊ค โมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า " เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า" หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีนมอนโร"นั่นเอง

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮา วาร์ดอันเลื่องชื่อ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า " สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์" ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น... ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า " แค่เด็ก" ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม " บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

เชื่อว่า ทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ...คนที่ ล้มเลิกต่างหาก


จุดประกายความคิด



เศรษฐีทั้งหลายมีนิสัยชอบฝึกฝนตนในด้านต่างๆ เนืองๆ จึงพัฒนาตลอดเวลา มีคุณสมบัติใหม่ปรากฎให้ชื่นชม และใช้เนืองๆ
ยาจกทั้งหลายมักมีนิสัยเบื่อตน แต่ไม่ฝึกฝนตนเองจึงจมอยู่กับตนที่ตัวเองไม่เคยพึงพอใจสักที (คัดลอกจาก ไชย ณ พล)
ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุน (คัดลอกจาก นโปเลียน ฮิลล์)
ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์ปราศจากถนนที่ราบเรียบกว้างใหญ่
ในสายธารแห่งสัจธรรมเต็มไปด้วยหินโสโครกที่แสนอันตราย
มีแต่วีรชนที่กล้าบุกป่าฝ่าดง กล้าโต้คลื่นโต้ลมเท่านั้น จึงสามารถปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาสูง เด็ดเอาสมุนไพรล้ำค่าดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก ครอบครองมุกทะเลเม็ดงาม (คัดลอกจาก ฮั่วหลั่วกิง)
ในโลกนี้ไม่มีผู้ชนะที่ไม่ลงเรี่ยวแรง (คัดลอกจาก หวังธง)
ไม่ออกเดินทาง ไม่มีวันไปถึงจุดหมายปลายทาง
ไม่ลงมือทำงาน ไม่มีวันประสบความสำเร็จ (คัดลอกจาก เจิงก่วงเสียน)
ความรู้ได้มาจากการทำงานอย่างทรหดอดทน ความสำเร็จทุกชนิดเป็นผลพวงจากการทำงานอย่างมานะบากบั่น (คัดลอกจาก ซ่งชิงหลิง)
ถ้าหากคนเราสามารถสำแดงศักยภาพของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ ทุกสื่งจะโชติช่วงชัชวาล (คัดลอกจาก ดร.ซุนยัตเซน)
การพิชิตจุดสุดยอดแห่งวิยาศาสตร์สมัยใหม่ ก็เหมือนกับนักปีนเขาที่พิชิตยอดเขาหิมาลัย ต้องเอาชนะอุปสรรคขวากหนามมากมายมหาศาล เรื่องเช่นนี้ คนอ่อนแอ กันคนขี้เกียจไม่มีทางได้ลิ้มรสความปิติสุขจากชัยชนะดอก (คัดลอกจาก เฉินจิ่งยุ่น)

เลือดของพืช



กำเนิดคลอโรฟิลล์คลอโรฟิลล์ คือส่วนที่เป็นสีเขียวในพืช มีหน้าที่สังเคราะห์แสง โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มารวมกับคาร์บอนไดออกไซค์ที่พืชดูดจากอากาศผ่านทางใบ รวมกับน้ำที่พืชดูดมาทางราก กลายเป็นอาหารทำให้พืชเจริญเติบโตได้ และคายก๊าซออกซิเจนออกมาจากการสกัด และวิเคราะห์ "คลอโรฟิลล์" จากพืชกว่า 6000 ชนิด พบว่าคลอโรฟิลล์ที่ได้จากต้นอัลฟัลฟ่า จะบริสุทธิ์และดีที่สุด เพราะระบบราก สามารถชอนไชในดินได้ลึกกว่า 130 ฟุตดังนั้นจึงสามารถดูดซึมอาหารได้มากกว่า บริสุทธิ์กว่าไม่สะสมสารพิษไว้ในตัวมันเอง ในการสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์นั้น เราจะนำเอาต้นอัลฟัลฟ่าที่ไม่แก่เกินไปหรืออ่อนเกินไปมาคั้นเอาน้ำสีเขียวพร้อมทั้งเกลือแร่ต่างๆ เช่นกรดอะมิโน 8 ชนิด ได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน , ลิวซีน , ไลซีน , เมไธโอนีน , ฟินิลอะลานีน , เทรโอนีน , ทริปโตฟาน , และวานลีน ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พร้อมทั้งเกลือแร่อื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส , แคลเซียม , โปแตสเซียม , สังกะสี , เซเลเนียม และแมกเนเซียมและวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน เอ,บี,ดี,อี และ เค และเอ็นไซม์ต่างๆ ที่ช่วยต้านสารพิษได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น
คลอโรฟิลล์ คือ สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลักคือ สังเคราะห์แสง (PHOTOSYNTHESIS) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเราได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมันหรือในแอลกอฮอลล์บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับ (LIVER) ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHOLOPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่อาการท้องเสียอย่างเบาบางในบางกรณีเท่านั้นด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดงต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม (Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียวแต่เม็ดเลือดแดงมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า "เลือดของพืช" (BLOOD OF PLANT) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันออกมาว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้จนผู้ทำวิจัยได้รับรางวัลโนเบล (NOBLE PRIZE) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วิน สเตตเตอร์ (DR. RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซี่ยม (ca) เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (BONE MARROW) ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือ สร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ 25 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารที่ขึ้นทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use For Over-the-Counter Human Use;Final Monograph;FinalRule คลอโรฟิลล์ จาก "อัลฟัลฟ่า"การสกัดและวิเคราะห์ "คลอโรฟิลล์" จากพืชกว่า 6,000 ชนิด พบว่าพืชที่ให้ "คลอโรฟิลล์" ที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ "อัลฟัลฟ่า" (ALFALFA) ซึ่งจัดเป็นพืชจำนวนที่มีฝัก (LEGUMES) ตระกูลถั่ว และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของอัลฟัลฟ่าสามารถซอนไซลงไปลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่าอีกทั้งตัวของมันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "อัลฟัลฟ่า"มากกว่า 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม จึงขนานนามให้เป็น AL- FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล" ประโยชน์ของ "อัลฟัลฟ่า" สามารถใช้บำบัดอาการปวดบวมและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปกติ ในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า "อัลฟาฟ่า" สามารถช่วยทำให้เลือดสะอาดขึ้นอัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมีโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ,ลิวซีน,ไลซีน,เมไธโอนีน,ฟินิลอะลานีน,เทรโอนีน,ทริปโตฟานและวาลีน กรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ในอัลฟัลฟ่า ยังมีวิตามิน เอ,บี 6,บี12,ดี,อี และ เค รวมทั้งเกลือแร่ เช่น ฟอสฟอรัส, โปรตัสเซียม, แคลเซี่ยม,สังกะสี,เซเลเนียม และ แมกนีเซียม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์หลักอีก 8 ชนิด คือ ไลเปส,อาเมเลส,โคกูเลส,อีมูลซิน,อินเวอร์เตส,อินเวอร์เตส,เปอร์อ๊อกซิเดส,เพคติเนส,โปรตีส,มนุษย์เราต้องการเอนไซม์มากกว่า 3,000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวัน ประเภทพืชผักและผลไม้ต่าง ๆ แต่ถ้าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศาเซลเซียสขึ้นไป เอนไซม์ต่าง ๆ จะเสื่อมหรือเปลี่ยนรูปไปและร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ร่างกายต้องการเอนไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้ เราได้รับเอนไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมากในอัลฟาฟ่ายังมีซาโปนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลในการลดในการอุดตันของเส้นเลือดและช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL)ในเลือดลงได้ จึงช่วยลดความดันโลหิตลงไอโซฟลาโวน,ฟลาโวลและสเตอโรล ในอัลฟาฟ่ายังช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และปรับระดับฮอร์โมนดังกล่าวในผู้หญิง ทั้งก่อนมีรอบเดือน (PMS) และอยู่ในวัยที่ใกล้จะหมดรอบเดือน (MENOPAUSE)

คลอโรฟิลล์จะช่วยท่านได้อย่างไรจากประสบการณ์ของผู้บริโภคจากทั่วโลกสรุปความหน้าสนใจของคลอโรฟิลล์ได้ดังนี้- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากอาการอ่อนเพลีย มีผลดีกว่ากาแฟ 50 เท่า- ขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารตกค้างจากยาปฏิชีวนะ หรือสารตกค้างจากเคมีบำบัด และในอาหารทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น- แมกนีเซียมที่หลุดออกจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์จะทำหน้าที่พาแคลเซียม เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น- มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลในปาก แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ- ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้าและกลิ่นอับไม่พึงประสงค์ได้ดี- ช่วยปรับระดับน้ำตาลในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะไปทำให้ตับอ่อนทำหน้าที่ดีขึ้น สามารถผลิตอินซูลินได้มากขึ้น- ช่วยปรับระดับความดันโลหิต เพราะไปช่วยให้ผนังเส้นโลหิต แข็งตัวน้อยลงในผู้สูงอายุ ทำให้เส้นผนังโลหิตยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความดันโลหิตลงมาได้


Alfalfa คืออะไรAlfalfa (Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก "Alfalfa" มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล"Alfalfa ได้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ Alfalfa อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบ และดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ Alfalfa ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa ในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริการได้แนะนำให้ใช้ Alfalfa เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า Alfalfa มีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วยสารที่ประกอบอยู่ใน Alfalfaด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ Alfalfa เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้ Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Chlorophyll , flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้นAlfalfa กับประโยชน์ต่อร่างกายประโยชน์หลักของ กรดอะมิโน ที่จำเป็นที่อยู่ในใบของ Alfalfa จะช่วยให้การทำงานของระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี อีกทั้งยังเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะทางธรรมชาติที่ดี มักใช้ Alfalfa เพื่อการบำบัดอาการติดเชื้อทางปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ และอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก และยังช่วยขจัดพิษในร่างกายโดยเฉพาะในตับได้อีกด้วยนอกจากนี้ Alfalfa ยังบรรจุไปด้วย วิตามิน และสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายมากมาย เช่น► วิตามิน K ใน Alfalfa จะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียน อยากอาเจียนได้► Alfalfa ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ► ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพ ที่ดี► Alfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C ,B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก► สาร saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในราก โสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม► สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย► ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียงของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น► Alfalfa ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้► Alfalfa มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรค มะเร็ง ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
Keyword : อัลฟัลฟา , อาหารเสริม , Alfalfa , Mesicago sativa , Chlorophyll , Nataural , เลือด , วิตามิน , คลอโรฟิลล์ , อัลฟัลฟ่า

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2550

อำลาอาลัย นักสู้ผู้กล้า พีรัชสิน พ่อค้า


พบครั้งแรกกับตั้ม พีรัชสิน พ่อค้า เป็นหนุ่มรูปร่างสูงดำนิดๆดูบุคลิกแล้วออกจะเป็นคนเงียบๆขรึมเหมือนเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวอยู่บ้าง แต่พอได้คุยกันแล้วนิสัยใจคอตั้มยอมรับเป็นคนใจถึง ใจกว้าง ร่วมงานกันมาหลายปียอมรับอีกอย่างหนึ่งว่าตั้มเป็นนักต่อสู้จริงๆที่หลายๆคนอาจทำไม่ได้เหมือนตั้ม ถ้าใครได้อ่านหนังสือเรื่องราวของบริษัท ดีแทค คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน ที่มีตอนหนึ่งเค้าพูดถึงการใช้ ตีนในการทำงาน ให้ประสบความสำเร็จ อ่านแล้วก้นึกถึงตั้ม พีรัชสิน พ่อค้า น้องพี่คนนี้แหละที่บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ใช้ตีนในการทำงานอย่างจริงจังโดยไม่ย่อท้อจนประสบความสำเร็จ ตั้มไปอยู่จังหวัดไหนก็เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินลุยแจกเอกสาร เยี่ยมเยือน พบปะกับทีมงานจนรู้ถึงตรอกซอกซอยถนนหนทางในจังหวัดนั้นเป็นอย่างดี วันที่ตั้มจากไปต่อหน้าต่อตาพี่ยังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเป็นเรื่องอำกันเล่นๆเห็นตั้มเล่นกิจกรรมสันทนาการอยู่ดีๆก็ล้มลงไปหลายคนพยายามเข้าไปช่วยทั้งยาดมยาหม่องทั้งพัดแต่ตั้มก็ยังแน่นิ่งเหมือนเดิมเพียงไม่กี่นาทีเราก็พาตั้มไปส่งโรงพยาบาลในขณะที่ตั้มอยู่ในรถพี่ก็ปั้มหัวใจให้เป็นช่วงๆแต่พวกพี่พวกน้องๆที่ไปส่งกันวันนั้นจนถึงโรงพยาบาลหมอพยาบาลก็ช่วยปั้มหัวใจ กระตุ้นไฟฟ้า ฉีดยากระตุ้น ก็ไม่มีอาการตอบรับจากตั้มเลยตั้มไปอย่างรวดเร็วจนหลายๆคนพี่ๆน้องๆในทีมงานทำใจไม่ได้ และแม่ของตั้มซึ่งเดินทางมาสบทบทีหลังอีกหัวใจแม่แทบใจสลายที่เห็นลูกจากไปอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ในตอนเช้าก่อนที่ตั้มจากพวกเราไปตั้มเอาดอกไม้ไปกราบตรงแทบเท้าของแม่พร้อมขอพรจากแม่ด้วย วันนี้ตั้มจากพวกเราไปพี่ขอให้ตั้มไปดี ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ของตั้มเพราะวันนี้ตั้มได้ทำธุรกิจที่ดีสิ่งที่ตั้มได้ทำมันสามารถเป็นมรดกตกทอดไปยังคนที่เรารักได้รายได้ที่ตั้มเคยได้จากธุรกิจนี้รายได้นี้แม่ของตั้มจะเป็นผู้รับช่วงต่อไปตั้มทำดีที่สุดแล้ว ขอให้ตั้มไปดีนะ คิดถึงตั้มเสมอ

อำลาอาลัย ตั้ม
พี่ บิน พี่ต๋อย สมรักษ์ คม เอก ปอ ตั้มเล็ก ไน โจ้ ปู น้องๆ พี่ๆ ทุกคน

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550

อ่านก่อนที่จะไม่มีเธอคนนั้นคนเดียวในโลก

ก่อนอื่นต้องขออภัยสำหรับเจ้าของต้นเรื่อง มันอาจตอกย้ำความเจ็บปวดกับคุณในเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่เพื่อตอกย้ำคนที่ได้ชื่อว่าลูกทุกคนให้หันกลับมาดูคนที่ส่งเสียคุณเลี้ยงดูคุณมาด้วยความเหนื่อยยาก วันนี้เราหันไปเหลียวท่านบ้างหรือเปล่า ก่อนจะไม่มีโอกาสดูแล เมื่อท่านจากเราไปแล้วการจัดงานใหญ่โตมันไม่มีประโยชน์อะไร เวลาท่านอยู่ทำไมไม่ทำ? ความรู้สึกของน้องคนหนึ่งที่บรรยายออกมาจากใจ ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมและผมก็เชื่อว่าใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กัน “จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง” “กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย” “รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง” “ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ” ประโยคต่างๆที่ผมได้คิดและคัดสรร เตรียมพร้อมมาต่างๆก่อนโทร ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน “เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน” “ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง” “เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย” “วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง” “อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ” โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง” จนกระทั่งวันนั้น “ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย” “เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ” “แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ” ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า “Home” “โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย” ผมไม่สลับสายผม ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ “และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่” หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืนและได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา “ผม” สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือโทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ คนเดียวในโลกที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม “และคนเดียวในโลกที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต” ในบางครั้งประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว” มันก็ไม่เป็นความจริง “เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว” อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆชั่วโมงคุยกับเธอก็ทิ้งผมไป วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น หลายๆอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง “เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป” ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550

พ่อครับ... ผมไม่มีดอกไม้จะมอบให้พ่อ: :

: แต่ก่อนนานมาแล้วยังมีชายชราคนหนึ่งแก่มาก จนจำอายุตนเองไม่ได้ หากใบหน้าของเขายังคงอิ่มเอิบเปล่งประกายเลือดฝาด
เคราสีเงินยวงสะอาดตาของเขา ยาวปกคลุมมาถึงหน้าอก ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก ตายังไม่ฝ้าฟาง หูก็ยังไม่หนวก
เขามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เขาก็ยังเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในครอบครัว
ปีนี้ เขาตัดสินใจว่าจะเลือกใครคนหนึ่งจากลูกชาย ๑๕ คน ของเขามาสืบทอดภารกิจนี้เสียที แต่ว่าจะเลือกใครดีละ
เมื่อชายชราคิดวิธีที่ดีที่สุดได้ จึงสั่งให้ลูกชายทั้ง ๑๕ คน มาพบแล้วแจกเมล็ดดอกไม้ให้ลูก ๆ คนละ ๑ เมล็ด พร้อมทั้งบอกว่า ใครสามารถปลูกเมล็ดพืชนี้ให้งอกงาม จนออกดอกบานสะพรั่ง คนนั้นก็จะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกต่อไป
เมื่อลูก ๆ ได้เมล็ดพืชมาแล้วต่างนำไปปลูกและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ลูกชายคนเล็กของชายชราผู้นี้มีชื่อว่า เสี่ยวเหลียงจือ เมื่อได้เมล็ดดอกไม้แล้ว เขาก็นำไปปลูกในกระถาง รดน้ำเอาใจใส่อย่างดีทุกวันทุกคืน แต่เมล็ดพืชนั้นก็ไม่แตกกล้าสักที เสียวเหลียงจือรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมาก
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนย่างกรายมาถึงแล้ว ชายชราผู้เป็นพ่อกำหนดว่าวันนี้ จะเป็นวันคัดเลือกดอกไม้ของลูก ๆ ลูกทุกคนต่างอุ้มกระถางดอกไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างสวยสดงดงาม มาให้ผู้เป็นพ่อชมเพื่อรอการคัดเลือก
ชายชราเดินตรวจดอกไม้ที่สวยงามในมือของลูก ๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่มีแววยินดีแม้แต่น้อย เขาเดินตรวจจากบุตรชายคนโตมาจนถึงบุตรชายคนที่ ๑๔ โดยมิได้หยุดเลย เมื่อเดินมาถึงเสี่ยวเหลียงจือ บุตรชายคนสุดท้อง ซึ่งยืนถือกระถางเปล่า ไม่มีทั้งต้นไม้และดอกไม้ ชายชราจึงหยุดกึกอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวเหลียงจือน้ำตาไหลพราก กล่าวกับบิดาอย่างสำนึกผิดว่า “พ่อครับ ผมไม่มีดอกไม้จะมอบให้พ่อ...”
ชายชรากลับแย้มยิ้มและพูดอย่างยินดีปรีดาว่า “ลูกเอ๋ย สิ่งที่เจ้ามอบให้พ่อนั้นมีค่ายิ่งกว่าดอกไม้มากมายนัก” “อะไรหรือครับ” “ความซื่อสัตย์ไงละ”
...เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่... ชายชราจึงเปิดเผยความลับต่อลูก ๆ ว่าที่แท้เมล็ดพืชที่ตนแจกแก่ลูก ๆ นั้นเป็นเมล็ดพืชที่นำไปคั่วจนสุกแล้ว ดังนั้น...... ต้นไม้ที่ผลิดอกสวยงามเหล่านั้นล้วนมาจากเมล็ดพืชจากที่อื่นไม่ใช่เมล็ดพืชที่ผู้เป็นพ่อแจกให้
ดอกไม้พวกนี้จึงเป็นสักขีพยานยืนยันความ “ไม่ซื่อตรง” ของพวกเขา
สุดท้ายชายชราจึงกล่าวอบรมลูก ๆ ว่า “ขอให้ลูก ๆ จงเป็นคนซื่อตรงเถิด ความซื่อตรงเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนเรา”
ชายชราผู้มองการณ์ไกลมิได้มองหาลูกชายที่แข็งแรง ร่ำรวยหรือเฉลียวฉลาดเลย หากแต่มองหาลูกชายที่ซื่อสัตย์จริงใจ
แม้เสียวเหลียงจือ จะมีเพียงกระถางว่างเปล่า แต่ใจของเขางดงามยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ เพราะเป็นใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันหาได้ยากยิ่ง ในโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันนี้ เขาจึงเป็นผู้ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและได้รับมอบหมายสิ่งสำคัญจากผู้เป็นบิดา
นี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความซื่อตรง และจริงใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง อยากได้จากกันและกันมากที่สุด ในชีวิตของเรา
เมื่อเราปรารถนาความซื่อตรงจริงใจจากทุกคน เราก็ควรเริ่มจากตัวของเราก่อน มอบความซื่อตรงจริงใจให้แก่กัน เพราะนี่คือสมบัติอันล้ำค่าที่เราทุกคนต่างปรารถนา และสามารถมอบให้แก่กันและกันได้ ให้โลกนี้งดงามด้วยความจริงใจงามยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ ทั้งมวล

สุมุนไพรน่ารู้ คาวตอง หรือ พลูคาว และลูกยอ

ผักคาวตอง
คาวตองผักคาวตองเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ชื่อท้องถิ่นที่เรียก มักใช้คำนำหน้าว่า ผัก เช่น ผักก้านตอง ผักคาวตอง บ่งบอกการนำไปใช้ประโยชน์ เป็นอาหาร และเรียก พลูคาว คงเนื่องจากมีใบรูปหัวใจที่คล้าย ๆ ใบพลู และมีกลิ่นคาวมาก ผักคาวตอง ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียที่เป็นถิ่นกระจายพันธุ์พืชนี้ มีการใช้ประโยชน์มานานแล้ว ทั้งเป็นอาหารและเป็นยา สำหรับยุโรปและอเมริกานั้นนิยมปลูกพันธุ์ใบด่างเป็นไม้ประดับด้วย ภูมิภาคอินโดจีน ใช้ทั้งต้นบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ขับปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้ลมพิษ ใบใช้ แก้บิด นอกจากใช้เป็นผัก แล้วยังใช้ต้มกับปลาหรือไข่เป็ดช่วยดับกลิ่นคาว จีน ใช้ใบหรือทั้งต้น ขับปัสสาวะ รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ฝีอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอ และบิด ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ ในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ใช้ทั้งต้นเป็นยาลดไข้ ขจัดสารพิษ ( detoxicant ) รักษาแผลในกระเพาะ และอาการอักเสบ รวมทั้งรักษาพิษแมลงกัดต่อย ประเทศเกาหลี ยังใช้ผักคาวตองในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ( arterosclerosis ) และมะเร็ง สำหรับประเทศไทย มีการใช้ประโยชน์ผักคาวตองในยาแผนโบราณ และยาพื้นบ้าน-พื้นเมืองมานานแล้ว โดยใช้ ใบเป็นยาแก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แก้โรคผิวหนัง แก้พิษฝี ต้นแก้ริดสีดวง ผลการตรวจสอบทะเบียนตำรับยาแผนโบราณของไทย ในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาปรากฎการใช้ผักคาวตองในสูตรตำรับยาแผนโปราณที่กระทรวงสาธารณสุข รับขึ้นทะเบียนจำนวน 19 ตำรับ นอกจากนี้ ภาคเหนือและอีสาน ใช้เป็นอาหารประเภทผักจิ้มน้ำพริก หรือกินกับลาบ
สรรพคุณผักคาวตอง
1.ช่วยเพิ่มกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
2.ยับยั้งทำลายเซลล์มะเร็ง-รังไข่ ปอด สมอง ลำไส้ใหญ่ เม็ดเลือดขาว
3.ยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ไข้หวัดใหญ่เอดส์ Hiv-1
HSV-1(Herpes simplex virus type1)
4.ยับยั้งและกำจัดแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด
5.ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปวดบวม
6.ฤทธิ์ขับปัสสาวะ
7.ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด

ข้อมูลจากหนังสือ ผักคาวตอง. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546
ลูกยอ
ลูกยอ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morinda Citrifolia Linn มีชื่อภาษาอังกฤษว่า NONI INDIAN MULBERRY เมื่อสุกเต็มที่จะมีเอนไซม์ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย ยอ เป็นพืชที่พบขึ้นอยู่หลายประเทศทั่วโลก เช่น ไทย จีน อินเดีย หมู่เกาะแปซิฟิคทางตอนใต้ ตาฮิติ ฮาวาย มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำส่วนต่าง ๆ ของยอมาใช้ประโยชน์ อาทิ เช่น ใบยอนำมาปรุงอาหาร ผลยอสุกใช้รับประทานได้ และมีการใช้ผสมในตำรับยาโบราณมานานหลายร้อยปี
การค้นพบสารสำคัญในลูกยอ ดร.ราฟ ไอเนกี (Dr. Ralph Heinicke) นักชีวเคมีชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง ได้ทำการวิจัยและค้นพบ เอนไซม์ในสับปะรด ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ชนิดหนึ่งเขาตั้งชื่อไว้ว่า เซโรนีน (Xeronine) นับแต่ปี ค.ศ. 1950 และได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนพบว่ามีสารนี้ในลูกยอมากกว่าในสัปปะรดหลายสิบเท่า และได้มีการวิจัยอย่างต่อเนื่อง จนรู้ถึงคุณประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของน้ำลูกยอ และเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ดังนี้
สรรพคุณลูกยอ 1. สร้างเสริมปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ให้ดีขึ้น ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมโทรม ซ่อมแซมเซล์ที่ถูกทำลาย เพิ่มพลังในเซลล์ทำให้มีกำลังและขจัดสารพิษในเซลล์ 2. ช่วยสังเคราะห์สารโปรตีนในร่างกาย ทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายดีขึ้น และเป็นผลดีต่อต่อมต่าง ๆ ในร่างกายทำให้ทำงานดีขึ้น 3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และต่อต้านมะเร็ง 4. ลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวาน 5. ลดความดันโลหิตสูง 6. ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานโรคโดยการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่าง ๆ 7. ลดและบรรเทาการอักเสบของเซลล์ ลดและบรรเทาโรคภูมิแพ้ 8. มีวิตามิน แร่ธาตุ อะมิโนแอซิด ช่วยเสริมอาหารและเพิ่มพลังงานใน ร่างกาย 9. ระงับความเจ็บปวด และบรรเทาอาหารปวดซ้ำ 10. ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว 11. ป้องกันและลดอาการของโรคภูมิแพ้